หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช: ต้นแบบรัฐบาลเสียงข้างน้อย
จากผลการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2517 ซึ่งกำหนดให้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 100 คน เรียงลำดับ 5 อันดับพรรคการเมืองแรกที่มีผู้แทนราษฎรเข้าไปนั่งในสภาหินอ่อน คือ พรรคประชาธิปัตย์ 74 คน พรรคธรรมสังคม 45 คน พรรคชาติไทย 28 คน พรรคเกษตรสังคม 19 คน และพรรคกิจสังคม 18 คน
ปรากฏการณ์อันมีนัยสำคัญ ต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหลังการทำรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่ประชาชนโดยเฉพาะประชาชนกลุ่มล่างของสังคมได้รับผลสะเทือนจากช่วงประชาธิปไตยเบ่งบานหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั่นคือ มีพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนและแนวทางสังคมนิยมเกิดขึ้น 3 พรรค และมีจำนวนผู้แทนราษฎรดังต่อไปนี้ คือ
พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พันเอก สมคิด ศรีสังคม เป็นหัวหน้าพรรค นายไขแสง สุกใส เป็นรองหัวหน้าพรรค ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน เป็นเลขาธิการพรรค และนายวิรัตน์ ศักดิ์จิระภาพงษ์ เป็นรองเลขาธิการพรรค ได้ 15 คน, พรรคแนวร่วมสังคมนิยม นายแคล้ว นรปติ เป็นหัวหน้าพรรค นายพรชัย แสงชัจจ์ เป็นเลขาธิการพรรค ได้ 10 คน และ พรรคพลังใหม่ นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค นายปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นเลขาธิการพรรค ได้ 12 คน
แต่นับจากการเผยแพร่แนวคิดสังคมนิยมที่มีลักษณะกว้างขาวงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ประกอบกับการตื่นตัวทางการเมืองของเยาวชนนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยมีทิศทางในการก้าวออกจากรั้วสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ในระบบ ไปสู่การประสานตัวเองเข้ากับประชาชนระดับล่าง ที่เป็นกรรมกร ชาวนา และคนจนในเมือง ผู้ประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำและชาวชุมชนสลัม นั่นเอง ที่นำไปสู่ขบวนการทำลายสังคมนิยม หรือที่เรียกกันว่า "ขวาพิฆาตซ้าย" รูปธรรมคือตั้งกลุ่มอันธพาลการเมืองขึ้นมาต่อต้าน ก่อกวน และทำลายด้วยความรุนแรง โดยกฎหมายบ้านเมืองที่มีลักษณะ 2 มาตรฐานไม่อาจและหรือแทบไม่เคยเข้าไปคลี่คลายความเดือดร้อนเสียหายอันเกิดจากพฤติกรรมสามานย์ทางการเมืองทำนองนี้ได้เลย
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับเลือกมากที่สุด เท่ากับกลายเป็นมือวางอันดับหนึ่งเป็นแกนในการจัดรัฐบาลผสม วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2518 จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี และได้ตั้งคณะรัฐมนตรีใน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ รวมจำนวน 31 คน รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 มีนาคม เรื่องสำคัญคือปัญหาทางเศรษฐกิจและการถอนฐานทัพสหรัฐอเมริกาออกจากประเทศไทย ภายในเวลา 18 เดือน เหตุผลเพื่อให้รัฐบาลได้เตรียมการสำหรับคนไทยที่ทำงานในฐานทัพสหรัฐอเมริกาในการหางานทำใหม่
ผลการลงคะแนนลับเมื่อสิ้นสุดการอภิปราย ปรากฏว่ามีผู้รับรองนโยบายรัฐบาลเพียง 111 เสียง ไม่ไว้วางใจ 152 เสียง ไม่ออกเสียง 3 เสียง บัตรเปล่า 1 บัตร บัตรเสีย 1 บัตร รวม 268 เสียงขาดประชุม 1 คน คือ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ป่วยหนักมาไม่ได้ เป็นอันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ นับเป็นรัฐบาลแรกในระบอบประชาธิปไตยไทย ที่ไม่ได้ความไว้วางใจในการแถลงนโยบาย
และในการประชุมเพื่อสรรหาใหม่ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมได้คะแนน 105 เสียง พันเอก สมคิด ศรีสังคม 59 เสียง และหลังจากมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีจำนวน 25 คน รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 19 มีนาคม เมื่อมีการลงมติ รัฐบาลได้รับความไว้วางใจ 140 เสียง ไม่ไว้วางใจ 124 เสียง ไม่ออกเสียง 1 คน ขาดประชุม 4 คน
นั่นหมายความว่า หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ที่มีผู้แทนราษฎรในสภาเพียง 18 คน ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคจนได้ แล้วก็เริ่มดำเนินโครงการเงินผันหรือการสร้างงานในชนบท การส่งเสริมพัฒนาสภาตำบล การซื้อสัมปทานรถประจำทางของเอกชนเข้ามาเป็นของรัฐ
ทั้งนี้ผลพวงประการหนึ่งจากการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่เผด็จการทรราชย์ นำไปสู่การเกิดการเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานขนาดมหึมาอย่างไม่เคยมาก่อน การเรียกร้องสิทธิของกรรมกรและผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ ขอเพิ่มค่าแรงงาน ขอค่าสวัสดิการ ในปี 2518 มีการนัดหยุดงานถึง 241 ครั้ง รวมจำนวนแรงงานที่เกี่ยวข้อง 722,946 คน เพิ่มจากปี 2517 ที่มีการนัดหยุดงาน 357 ครั้ง และมีผู้ใช้แรงงานเข้าร่วม 507,607 คน
การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเริ่มต้นเมื่อกรรมกรหญิงโรงงานสแตนดาร์ดการ์เมนท์ ถนนพระรามสี่ ประท้วงนายจ้างที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน กรรมกรส่วนหนึ่งที่ไม่ร่วมการประท้วงและต้องการเข้าทำงาน ในวันที่ 28 พฤษภาคม กำลังตำรวจภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ยุทธนา วรรณโกวิท ผู้บังคับการตำรวจนครบาลใต้ ได้พยายามนำเอากรรมกรส่วนที่เข้าข้างนายจ้างเข้าทำงาน เกิดการปะทะกับฝ่ายกรรมกรที่ต้องการประท้วง ฝ่ายตำรวจตัดสินใจใช้ไม้ กระบองเข้าทุบตีกรรมกรหญิงที่นัดหยุดงาน มีผู้บาดเจ็บบาดเจ็บ 28 คน นับเป็นครั้งแรกที่เริ่มมีการใช้วิธีการแยกสลายโดยให้กรรมกรขัดแย้งกันเอง และเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายตำรวจใช้ความรุนแรงกับกรรมกร
ขณะเดียวกัน ในการประท้วงของพนักงานโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งเคยนัดหยุดงานมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2517 เป็นเวลา 23 วัน เพื่อเรียกร้องค่าจ้างแรงงาน ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 พนักงาน 400 คนก็นัดหยุดงานครั้งที่สอง หลังจากที่ยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายบริหารแล้ว ไม่ได้รับการตอบสนอง การนัดหยุดงานยืดเยื้อ เพราะฝ่ายเจ้าของโรงแรมไม่ยอมเจรจาและไล่ฝ่ายพนักงานออก 105 คน ทั้งยังได้ว่าจ้าง "กลุ่มกระทิงแดง" ซึ่งเป็นกลุ่มอันธพาลการเมืองที่มีแนวทาง "ขวาพิฆาตซ้าย" เข้ามาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคุ้มครองทรัพย์สิน ปรากฏว่าในวันที่ 2 มิถุนายน นายเทิดภูมิ ใจดี ผู้นำพนักงานดุสิตธานีถูกลอบยิงแต่ไม่ได้รับอันตราย เหตุการณ์นี้จึงทำให้ฝ่ายศูนย์ประสานงานกรรมกรจัดการชุมนุมประท้วงใหญ่ที่ สวนลุมพินีเป็นเวลา 3 วัน ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลได้เข้ามาจัดการปัญหา แต่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตัดสินให้ฝ่ายกรรมกรแพ้ ด้วยเหตุผลว่าเป็นการเรียกร้องซ้ำภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี ซึ่งขัดกับกฎหมายแรงงาน 2518
ต่อมาในวันที่ 26 กรกฎาคม เกิดการนัดหยุดงานของกรรมกรหญิงโรงงานกระเบื้องเคลือบวัฒนาวินิลไทม์ อำเภอกระทุ่มแบน ฝ่ายนายจ้างใช้อันธพาลเข้าคุ้มครองโรงงาน เกิดการปะทะกับฝ่ายกรรมกร เป็นเหตุให้ น.ส.สำราญ คำกลั่น กรรมกรหญิงอายุ 15 ปี ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในการนัดหยุดงาน.
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 23-29 มกราคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น