ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (58)

รัฐนาวาที่ดูเหมือนไม่มีวันอับปาง
กับความล้มเหลว "กบฏ 9 กันยา"

ในเวลาต่อมา ฝ่ายค้านนำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร และคณะได้เสนอญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 พฤษภาคม 2527 โดยมุ่งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.สิทธิ์ จิรโรจน์ ในประเด็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การดำเนินการทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เรื่องยาเสพติดให้โทษและการบริหารบ้านเมือง แต่เนื่องจากผู้เสนอญัตติไม่อยู่ชี้แจงในที่ประชุม ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงวินิจฉัยว่าญัตติตกไป

และจากการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศลดค่าเงินบาทในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 ส่งผลให้ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดังกล่าวและให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ทั้งยังออกอากาศทางสถานโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เสนอให้ปรับคณะรัฐมนตรี และให้ยืนค่าเงินตามอัตราเดิม ซึ่งในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2527 นายไพจิตร เอื้อทวีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อยืนยันความถูกต้องในการตัดสินใจลดค่าเงินบาท

กรณีที่พล.อ.อาทิตย์ โจมตีรัฐบาลเรื่องลดค่าเงินบาทนี้ มีผลต่อสัมพันธภาพที่เคยแนบแน่นระหว่างพล.อ.เปรม กับพล.อ.อาทิตย์

วันที่ 15 เมษายน 2528 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาแทนสมาชิกวุฒิสภาที่จับสลากหมุนเวียนออก จำนวน 75 คน และแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ขาดอีก 1 ตำแหน่ง รวมแต่งตั้งใหม่ 76 คน รวมกับสมาชิกสภาเดิมเป็น 260 คน

ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 สภาผู้แทนราษฎรจัดการประชุมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามญัตติของนายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทย และคณะ โดยระบุตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ การอภิปรายใช้เวลาถึง 14 ชั่วโมง ผลการลงมติปรากฏว่ารัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปรายได้รับความไว้วางใจ

แต่แล้วในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2528 เกิดความพยายามก่อรัฐประหารของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พ.อ.มนูญ รูปขจร, พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พล.อ.เสริม ณ นคร, พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งประกอบด้วยผู้นำแรงงานคนสำคัญๆ ได้แก่ นายสวัสดิ์ ลูกโดด, นายอาหมัด ขามเทศทอง, นายประทิน ธำรงจ้อย ฯลฯ และบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีข่าวว่าให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่กลุ่มผู้ก่อการ คือ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้เพิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีแชร์ชาร์เตอร์ ได้ปรากฏตัวขึ้นที่กองบัญชาการรัฐประหารในฐานะแกนนำคนสำคัญ การกบฎครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศ อินโดนีเซีย ส่วนพล.อ.อาทิตย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป

การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 03.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การ สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พล.อ.เสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ทั้งนี้นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้และผู้นำสหภาพแรงงานและกำลังทหารส่วนหนึ่ง เข้าไปยึดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และควบคุมตัวนายพิเชษฐ สถิรชวาล ผู้อำนวยการฯ ในขณะนั้น เพื่อนำรถขนส่งมวลชนไปรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเข้ามาร่วมด้วย

ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ., พล.ท.ชวลิต ยงใจยุทธ รองเสนาธิการทหารบก, พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการกองกำลังฝ่ายรัฐบาลขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าปราบปรามฝ่ายก่อรัฐประหาร และออกแถลงการณ์ตอบโต้ในนามของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5 ประกอบด้วย พล.ท.สุจินดา คราประยูร, พล.ท.อิสระพงศ์ หนุนภักดี, พล.อ.ท.เกษตร โรจนนิล ฯลฯ

เวลาประมาณ 09.50 น. รถถังของฝ่ายกบฏ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเอ็ม 60 เข้าไปยังกรมประมวลข่าวกลาง ที่ตั้งอยู่ในวังปารุสก์ฯ เป็นเหตุให้ นีล เดวิส ผู้สื่อข่าวต่างประเทศชาวออสเตรเลีย และ บิล แรตช์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกัน ของเครือข่ายเอ็นบีซี เสียชีวิต

กำลังทั้งสองฝ่ายเปิดฉากเริ่มปะทะกันอย่างรุนแรงในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางทหาร บนถนนราชดำเนินนอกของกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. การเจรจาเพื่อสงบศึกได้เริ่มขึ้น โดยมี พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล เจรจากับ พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แกนนำคนสำคัญฝ่ายรัฐประหาร จนที่สุดฝ่ายกบฏยินยอมยกเลิกปฏิบัติการ 17.30 น. สถานการณ์ที่ตึงเครียดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มคลี่คลายเข้าสู่ความสงบ กองกำลังทั้งสองฝ่ายถอนตัวออกจากปฏิบัติการกลับเข้าที่ตั้ง

ในเวลา 18.30 น. พล.ท.พิจิตร และ พล.ท.ชวลิต ได้เดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อส่งตัว พ.อ.มนูญ และ น.อ.ท. มนัส รูปขจร สองแกนนำคนสำคัญในการรัฐประหารครั้งนี้ให้เดินทางไปยังสิงคโปร์ ก่อนจะติดต่อขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในประเทศเยอรมันตะวันตก (ในเวลานั้น)

ส่วน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ทันที

ผลจากการกบฏล้มเหลว มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนีไปได้ 10 คน

สำหรับสาเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ในความพยายามก่อรัฐประหารจนกลายเป็นเพียง "กบฏ" ว่ากันว่า พ.อ.มนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึดอำนาจ เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่จะนำกำลังออกมาสมทบ และการกบฏครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจาก "นัดแล้วไม่มา" ซึ่งในการปราศรัยของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผ่านวิดิโอลิงก์เมื่อมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม นปช. ในวันที่ 5 เมษายน 2552 ระบุ ว่า พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นบุคคลที่ "นัดแล้วไม่มา" (จาก ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย : http://politicalbase.in.th/index.php/รัฐประหาร_9_กันยายน_2528)


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 24-30 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง  ผู้เขียน อริน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (56)

เรื่องของ "เปรม": เส้นทางที่ไม่ได้เลือก? รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการรวบรวมและดำเนินคดีในฐานะกบฏคณะบุคคลทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งประกาศให้ให้ผู้ร่วมก่อความไม่สงบรายงานเข้ารายงานตัว จนถึงเวลาที่กำหนดเป็นเส้นตาย มีผู้รายงานตัวครบ 289 คน เป็นพลเรือน 110 คน เช่น นายรักศักดิ์ วัฒนาพานิช และ นายบุญชนะ อัตถากร ตำรวจ 25 คน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และทหาร 154 คน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลุ่มทหารหนุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก (Young Turk)" ทั้งนี้เป็นการเรียกขานกันโดยมีที่มาจากขบวนการปัญญาชนหัวใหม่ปลายยุคอาณาจักรออตโตมาน ที่ลุกขึ้นปฏิวัติประชาธิปไตยระหว่างปี ค.ศ. 1876 ถึงปี ค.ศ. 1923 ผู้นำคนสำคัญคือ มุสตาฟา เคมาล (Mustafa Kemal) ซึ่งก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำผู้นำในการต่อสู้ขับไล่กองกำลังต่างชาติ ใน "สงครามเพื่อการปลดปล่อย (War of Liberation)" ช่วงปี ค.ศ. 1919-1923 จนเกิด สาธารณรัฐตุรกี จึงมีชื่อเรียกความพยายามทำรัฐประหารครั้งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "กบฏยังเติร์ก" ในจำนวนแกนนำระดับหัวหน้าผู้ก่อการคนสำคัญที่เดินทางออกนอกประเทศ พ.อ.มนูญ รูปขจร ลี

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (39)

เสียงเพลงก้องฟ้า "สู้ไม่ถอย": ถนนทุกสายมุ่งสู่ธรรมศาสตร์ เช้าวันที่ 10 ตุลาคม นิสิตนักศึกษาจากสถาบันในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งนักเรียนระดับอาชีวศึกษาทั้งช่างกลและช่างก่อสร้าง รวมทั้งนักศึกษาจากวิทยาลัยครูพระนคร วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา วิทยาลัยครูธนบุรี ทยอยเข้าสมทบการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะที่ตัวแทนจากวิทยาลัยครูสวนสุนันทาและวิทยาลัยวิชาการศึกษา มาแจ้งว่ากำลังส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างเดินทาง นับเป็นครั้งแรกที่นักเรียนอาชีวะประกาศตัวเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง เวลา 10.30 น. จอมพลถนอม กิตติขจร จัดแถลงข่าวว่ามีการพบเอกสารล้มล้างรัฐบาลและโปสเตอร์ที่ไม่ได้มุ่งหมายจะเรียกร้องรัฐธรรมนูญอย่างเดียว รวมทั้งเอกสารของพรรคคอมมิวนิสต์ จึงตั้งข้อหาเพิ่มในฐานะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงต่อรัฐ และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ช่วงบ่าย ตัวแทนนักเรียนนิสิตนักศึกษาขึ้นเวทีที่บริเวณลานโพธิ์ ประกาศงดการเข้าสอบประจำภาคทุกสถาบัน โดยจะยืนหยัดเรียกร้องจนกว่าผู้ถูกจับกุมทั้ง 13 คนจะได้รับความเป็นธรรม สลับกับการร้องบทเพลงแห่งการต่อสู้ "สู้ไม่ถอย" ที่แต่งโดย นา

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (55)

1 ปีรัฐบาลเปรม 1-2: "กบฏเมษาฮาวาย" พ่าย หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งนายกรัฐมนตรี ผลงานลำดับแรกของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คือการแจ้งแก่กลุ่มการเมืองต่างๆในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันหารือเสนอรายชื่อตัวบุคคลเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี โดยจะให้มีรัฐมนตรีร่วมคณะน้อยที่สุด เพื่อจัดตั้งรัฐบาลภายใน 15 วัน ซึ่งในที่สุดวันที่ 12 มีนาคม 2523 จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีรวม 37 คน พลเอกเปรมกล่าวปราศรัยต่อประชาชนทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ทุกเครือข่าย ก่อนที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อขอความไว้วางใจ ในวันที่ 29 มีนาคม 2523 เพื่อที่จะเข้าแบกรับภารกิจการบริหารประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีที่มาจากนายทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาแล้ว 2 กระทรวงตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ หนึ่งในปัญหาหลักของคณะผู้บริหารประเทศในช่วงเวลาคาบเกี่ยวการสิ้นสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ดำเนินสงครามประชาชนอยู่ในเขตป่าเขามาตั้งแต่ปี 2508 นั้น ย่อมหนีไม่พ้น ปัญหาการการขับเคี่ยวกันระหว่างรัฐบาลกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ที่รัฐบาลหลังกา