ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (9)

ความลังเล ความแตกแยก
สู่จุดจบของฝ่ายกบฏบวรเดช

ในวันที่ 16 ตุลาคม หลังจากกองกำลังฝ่ายกบฏมาถึงปากช่องในสภาพขวัญและกำลังใจระส่ำระสายอย่างหนัก มีไพร่พลทั้งนายทหารและพลทหารแตกทัพไปสวามิภักดิ์กับรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการปรับเปลี่ยนยุบหน่วยกำลังทั้งทหารราบ ทหารม้า และทหารปืนใหญ่ โดยลดหน่วยจาก 2 กองพันลงมาเหลือเพียง 1 กองพัน ยิ่งไปกว่านั้น ทหารราบ ร. พัน 17 จากอุบล ซึ่งได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยสนับสนุน รักษาเมืองโคราช กลับยกหน่วยกลับฐานที่อุบล ทั้งยังรื้อทำลายแผงสะพานรถไฟจากสถานีจันทึกถึงสถานีโคราชจนเสียหายใช้การไม่ได้เพื่อป้องกันการติดตาม ยิ่งทำให้กองกำลังฝ่ายกบฏตกอยู่ในอาการละล้าละลังยิ่งขึ้น และในเวลาไล่เลี่ยกัน ร. พัน 18 (อุดรธานี) พอได้ข่าวว่าทหารปฏิวัติแตกทัพมาดงพระยาเย็นก็เลยแปรพักตร์เป็นทหารรัฐบาลอีกหน่วย

ระหว่างนั้น พันตำรวจเอก พระขจัดทารุณกรรม (ผบ. ตำรวจภูธร) และ พันตำรวจตรี หลวงสุนทรพิทักษ์เขต (รองผบ. ตำรวจภูธร) เชลยที่ฝ่ายกบฏบวรเดชจับกุมตัวเอาไว้ ฉวยโอกาสหนีตามทหารอุบล เพื่อสั่งการให้ตำรวจในอีสานตอนล่างแปรสภาพเป็นกำลังของรัฐบาล

17 ตุลาคม สถานการณ์ของฝ่ายกบฏในแนวรบด้านโคราชขณะถอนทัพมาที่สถานีจันทึกยิ่งไม่เป็นผลดี เมื่อรอยร้าวฉานระหว่างพระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาศรีสิทธิสงคราม ปรากฏเด่นชัดถึงขนาดพระองค์เจ้าบวรเดชมอบการบังคับบัญชาทหารทั้งหมดให้ พลตรี พระยาเสนาสงคราม แทน พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม ผู้ริเริ่มการกบฏตั้งแต่เริ่มแผน

ส่วนแนวรบทางด้านทิศใต้ หลวงพิบูลสงคราม นำคณะนายทหาร เช่น ร้อยโท เนตร เขมะโยธิน ร้อยตรี สุรจิต จารุเศรนี ขึ้นรถไฟไปเพชรบุรี เพื่อสมทบกับทหารราชบุรี เพื่อเปิดการเจรจากับทหารเพชรบุรี และเมื่อได้รับแจ้งทางวิทยุว่าทหารบวรเดชที่โคราชถูกกวาดล้าง ผบ. พันอิสระ ต้องสั่งเลิกทัพทันที และให้ตั้งแถวยอมแพ้แก่ทหารรัฐบาล และยอมปลดอาวุธทหารเพชรบุรีที่สถานีบ้านน้อย (สถานีเขาน้อย) ห่างจากสถานีเพชรบุรี 10 กิโลเมตร

จากนั้นรัฐบาลได้เปิดทางรถไฟไปภาคใต้ แล้วส่งพระยานิติศาสตร์ไพศาลเป็น ผู้แทนเจรจาให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จจากสวนไกลกังวลกลับพระนคร แต่การเจรจาไม่เป็นผล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จแปรพระราชฐานจากสวนไกลกังวล ประทับเรือศรวรุณ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นจากทหารที่รัฐบาลส่งมาอารักขา (จับกุม) ซึ่งมีรายพระนามและรายนามในคณะดังนี้ (1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (2) พระบรมราชินี (3) สมเด็จกรมพระสวัสดิ์วัฒนวิศิษฏ์ - พระราชบิดาในสมเด็จพระบรมราชินี (4) พระองค์เจ้าหญิงอาภาพรรณี - พระราชมารดาในสมเด็จพระบรมราชินี (5) พระองค์เจ้าวรานนธวัช ในทูลกระหม่อมจุฑาธุช (6) พันตรี หม่อมเจ้าประสบศรี จิรประวัติ (7) หม่อมเจ้ากมลาลีสาณ ชุมพล (8 ) เรือเอก หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร ร.น. (9) หม่อมเจ้า นันทิยาวัฒน สวัสดิ์วัฒน์ (10) หม่อมเจ้าเศรษฐพันธ์ จักรพันธุ์ (11) หลวงศักดิ์นายเวร (มหาดเล็ก) (12) นายเรือเอก หลวงปริยัตินาวายุทธ ร.น. (ราชองครักษ์) เป็นผู้บังคับการเรือ มีพลประจำเรือพร้อมทหารรักษาวัง อีก 6-7 นาย และ ปืนเล็กกลไปด้วย จากนั้นในช่วงหัวค่ำ เรือศรวรุณก็ออกเดินทางไปยังสงขลา

ส่วนเจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายในอื่นต้องเสด็จทางรถไฟจากหัวหินไปสงขลา เพื่อสมทบกับขบวนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ได้แก่ (1) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระโอรสธิดา (2) กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และพระโอรสธิดา (3) กรมหมื่นอนุวัตจาตุรนต์ (4) พลโท พระยาวิชิตวุฒิไกร สมุหราชองครักษ์ (5) พระยาอิศราธิราชเสวี (6) หม่อมเจ้าสุขสวัสดิ์ฯ ผู้บังคับการทหารรักษาพระองค์ (7) ข้าหลวงมหาดเล็กอีกหลายสิบคน และ (8 ) ทหารรักษาพระองค์ 2 กองร้อย การเคลื่อนย้ายคณะนี้เผชิญอุปสรรคถึงขนาดเกือบมีการปะทะกัน แล่ผลสุดท้ายรัฐบาลอนุญาตให้ขบวนรถไฟเดินทางจนตลอดรอดฝั่ง แต่เสียเวลาถึง 2 วัน คือกว่าจะไปถึงสงขลาก็ตอเย็นวันที่ 19 ตุลาคม พอไปถึงก็สมทบกับขบวนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดยคณะเจ้านายฝ่ายหน้าฝ่ายหน้าฝ่ายในรีบไปจวนอุปราชภาคใต้ เพื่อรีบจัดแจงปรับแต่งเป็นที่ประทับ

20 ตุลาคม ฝ่ายกบฏสั่งการให้ให้ พลตรี พระยาเสนาสงคราม นำทหาร ม.พัน 4 และ ทหารราบเดนตาย สกัดกั้นทหารอุดร ส่วน ร.พัน 15 และ ร.พัน 16 ที่ดงพระยาเย็นเหลือทหารเพียง 100 ต้องให้ พันโท พระปัจจานึกพินาศ (ทหารม้า) ออกมาคุมทหารราบที่แตกทัพ

21 ตุลาคม หลวงพิบูลสงคราม มาตรวจแนวรบ ร.พัน 6 รับฟังการบรรยายสรุป จากนั้นจึงออกคำสั่งทางการรบก่อนกลับพระนคร

22 ตุลาคม กองกำลังฝ่ายรัฐบาลเคลื่อนพลรุกคืบหน้ามาถึงทับกวาง มีการต่อต้านจากฝ่ายกบฏเพียงเล็กน้อย ทหารได้รับเจ็บเพียง 4-5 นาย ทั้งนี้เนื่องจากทางรถไฟถูกรื้อเสียหายใช้การไม่ได้ เป็นระยะตลอดเส้นทาง ทหารต้องลงเดินเท้า ทำให้เป็นเป้าให้ปืนกลหนักของฝ่ายกบฏได้ง่าย แต่ในที่สุดก็ยึดทับกวางได้

23 ตุลาคม ตอนเช้า หลวงวีระโยธา (วีระ วีระโยธา) สั่งการให้ ร้อยโทซันซอน และ ร้อยโท ตุ๊ จารุเสถียร (จอมพล ประภาส จารุเสถียร) รุกคืบหน้าไปยังที่ตั้งฝ่ายกบฏ จนถึงเวลาเวลา 20.00 น. พบ ทหาร 2 - 3 คนยืนขวางทางรถไฟ มีนายทหารเล็งปืนพกเข้ามา (พระยาศรีสิทธิสงครามกำลังมาตรวจแนวป้องกัน) ร้อยโทตุ๊ จารุเสถียร จึงยิงสวนไปทันทีและทหาร 1 หมวดจึงระดมยิงไปที่เงาตะคุ่มๆ นั้น ในระยะเผาขน (ไม่เกิน 20 เมตร) เมื่อสิ้นเสียงปืนเข้าไปตรวจสอบ พบร่าง คน 2 คน คนหนึ่งคือ พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ที่เป็นศพไปแล้ว ที่เสาโทรเลขที่ 4 กม. 143 ก่อนถึงหินลับ ส่วน ร้อยตรี บุญรอด เกตุสมัย ทหารช่างอยุธยาที่เป็น ทส. ให้ พันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตกเป็นเชลย และ ร.พัน 6 ยึดสถานี หินลับ (กม.145) ได้สำเร็จ

ถึงตอนนี้ ฐานที่ตั้งกองบัญชาการกบฏที่ปากช่องเหลืออีกแค่ 35 กิโลเมตร

24 ตุลาคม เวลา 07.00 น. พันโท หม่อมหลวงจรูญ ฤทธิไกร ถอยทัพมาโคราช เข้ารายงานต่อพระองค์เจ้าบวรเดชว่า หินลับแตกแล้ว พระยาศรีสิทธิสงครามหายตัวไป ต่อมาจึงได้รับวิทยุรัฐบาลว่า พระยาศรีสิทธิสงครามตายแล้ว จึงเตรียมหนีไปอินโดจีน

หลวงพิบูลสงครามเดินทางมาแก่งคอยเพื่อดูศพพระยาศรีสิทธิสงคราม ซึ่งกว่าจะมาถึงก็เป็นเวลาเวลา 18.50 น. เนื่องจากทางขาด

25 ตุลาคม 2476 เวลา 1330 น. พระองค์เจ้าบวรเดช และ หม่อมเจ้าหญิงผจงจิตร พระชายา ให้ พันตรี หลวงเวหนเหินเห็จ (ผล หงสกุล) ขับเครื่องบินจากโคราชไปพนมเปญ เนื่องจากสนามบินบุรีรัมย์และสุรินทร์ใช้การไม่ได้ จากนั้นทหาร ม.พัน 3 จึงแตกทัพไปขึ้นรถไฟจากถนนจิระไปบุรีรัมย์

26 ตุลาคม 2476 เวลา 05.00 น. ทหารที่ค้างที่สถานีบุรีรัมย์ ขึ้นม้าหนีไปแดนเขมร.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข 18-24 กันยายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (52)

"คณะปฏิรูปฯ" และ "รัฐบาลหอย" กับมรสุมลูกแรก กบฏ 26 มีนาคม 2520 ตอนเย็นวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั่นเอง นายทหารคณะหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในนาม "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช โดยให้เหตุผลในคำประกาศว่า เพื่อกอบกู้สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้พ้นจากสถานการณ์อันเลวร้าย จึงยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2517 ยุบรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ประกาศใช้กฎอัยการศึก รวมทั้งห้ามประชาชนออกนอกบ้านระหว่าง 01.00 – 04.30 น. จากนั้นในวันที่ 8 ตุลาคม พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นการการสิ้นสุดระบอบประชาธิปไตยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนที่รวมตัวกันล้มระบอบเผด็จการทหาร พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ตั้งคณะรัฐมนต...

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (56)

เรื่องของ "เปรม": เส้นทางที่ไม่ได้เลือก? รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการรวบรวมและดำเนินคดีในฐานะกบฏคณะบุคคลทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งประกาศให้ให้ผู้ร่วมก่อความไม่สงบรายงานเข้ารายงานตัว จนถึงเวลาที่กำหนดเป็นเส้นตาย มีผู้รายงานตัวครบ 289 คน เป็นพลเรือน 110 คน เช่น นายรักศักดิ์ วัฒนาพานิช และ นายบุญชนะ อัตถากร ตำรวจ 25 คน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และทหาร 154 คน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลุ่มทหารหนุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก (Young Turk)" ทั้งนี้เป็นการเรียกขานกันโดยมีที่มาจากขบวนการปัญญาชนหัวใหม่ปลายยุคอาณาจักรออตโตมาน ที่ลุกขึ้นปฏิวัติประชาธิปไตยระหว่างปี ค.ศ. 1876 ถึงปี ค.ศ. 1923 ผู้นำคนสำคัญคือ มุสตาฟา เคมาล (Mustafa Kemal) ซึ่งก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำผู้นำในการต่อสู้ขับไล่กองกำลังต่างชาติ ใน "สงครามเพื่อการปลดปล่อย (War of Liberation)" ช่วงปี ค.ศ. 1919-1923 จนเกิด สาธารณรัฐตุรกี จึงมีชื่อเรียกความพยายามทำรัฐประหารครั้งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "กบฏยังเติร์ก" ในจำนวนแกนนำระดับหัวหน้าผู้ก่อการคนสำคัญที่เดินทางออกนอกประเทศ พ.อ.มนูญ รูปขจร ลี...

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (50)

6 ตุลาคม 2519 วันสังหารนกพิราบ ในวันที่ 2 ตุลาคม 2519 อันเป็นกำหนดเวลาเส้นตายที่ศูนย์นิสิตฯยื่นต่อรัฐบาล ทางฝ่าย กระทิงแดง ยกกำลังอันธพาลทางการเมืองจำนวนหนึ่งอ้างว่าเพื่อป้องกันการบุกรุกมาตั้งแนวล้อมวัดบวรนิเวศ ปรากฏว่าหลังจากตัวแทนตัวแทนศูนย์นิสิตฯ ไม่ได้รับคำตอบใดจากการเข้าพบนายกรัฐมนตรี จึงกลับออกมาและเรียกประชุมได้ข้อสรุปออกมาเป้นมติให้มีการชุมนุมประชาชนครั้งใหญ่ที่สนามหลวงในเวลาเย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม ต่อมานับจากช่วงเช้าของวันที่ 4 ตุลาคมนั้นเอง กลุ่มนักศึกษาอิสระในธรรมศาสตร์รวม 21 กลุ่ม เริ่มการรณรงค์ให้นักศึกษางดสอบและเข้าร่วมการประท้วงขับไล่จอมพลถนอม ในการนี้ ชมรมนาฏศิลป์และการละครได้จัดการแสดงละครปลุกเร้าจิตสำนึกทางการเมือง โดยมีฉากหนึ่งที่เป็นภาพสะท้อนถึงช่างไฟฟ้าที่ถูกสังหารที่นครปฐม ปรากฏว่าการรณรงค์ประสบผลจนทำให้มหาวิทยาลัยต้องประกาศเลื่อนการสอบออกไปอย่างไม่มีกำหนด ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. ประชาชนเริ่มทยอยกันมาชุมนุมที่สนามหลวง แล้วเกิดฝนตก แต่ในขณะเดียวกันมีสัญญาณบ่งบอกว่าในช่วงกลางคืนน่าจะมีการคุกคามโดยกลุ่มที่ต่อต้านนิสิต นักศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มว่าผลักดันโดยขบ...