บทเกริ่นการรัฐประหารในสยาม: 1 เมษายน 2476 รัฐประหารตัวเอง
วันที่ 27 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยทรงเพิ่มคำว่า "ชั่วคราว" ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ที่ร่างโดยนายปรีดี พนมยงค์ เนื่องจากทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยไม่เห็นด้วยในร่างธรรมนูญฯดังกล่าว โดยการบริหารประเทศรูปแบบใหม่ภายใต้ฝ่ายบริหารที่เรียกว่า "คณะกรรมการราษฎร" และหัวหน้าคณะที่เรียกว่า "ประธานคณะกรรมการราษฎร"
ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2475 คณะกรรมการราษฎรจึงออกแถลงการณ์ยืนยันความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ สมดังเจตนารมณ์คณะราษฎรผู้นำการเปลี่ยนแปลงในขณะนั้น
แถลงการณ์คณะกรรมการราษฎร
เนื่องแต่คณะราษฎรได้มีประกาศแสดงถึงการกระทำของกษัตริย์ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.นี้ และต่อมาคณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครอง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแก่ราษฎรแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อวัน ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. นี้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาปรีชาชลยุทธ พระยาศรีวิสารวาจา พระยาพหลพลพยุหเสนา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม กรรมการราษฎรได้ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วังสุโขทัย ทรงรับสั่งถึงความจริงที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยดีต่อราษฎร และทรงพระราชดำริจะให้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแก่ราษฎรอยู่แล้ว และสิ่งอื่นๆ ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะกระทำก็ล่าช้าไป หาทันกาลสมัยไม่ ส่วนการที่ข้าราชการในรัฐบาลของพระองค์ใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต ก็ทรงสอดส่องอยู่เหมือนกัน หาได้สมรู้ร่วมคิดด้วยไม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรารถนาดีต่อราษฎรเช่นนี้ และทรงยอมร่วมเข้าคณะราษฎร โดยเป็นประมุขของประเทศสยามแล้ว ฉะนั้น คณะกรรมการราษฎรจึงเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปรารถนาดีต่อราษฎร
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2475
ในวันที่ 10 ธันวาคม สภาผู้แทนราษฎรจึงผ่านผ่านการเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 แล้วจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้บริหารประเทศชุดใหม่ในนามใหม่ คือเป็น "นายกรัฐมนตรี" และ "รัฐมนตรี" โดยมี พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นนายกรัฐมนตรี และมีรัฐมนตรีประจำกระทรวง 7 กระทรวง และรัฐมนตรีลอยอีก 13 คน
โดยมูลเหตุบนพื้นฐานหลัก 6 ประการของคณะราษฎรในข้อที่ 3 คือ "จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก" ในวันที่ 9 มีนาคม 2476 นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรและมีส่วนอย่างสำคัญในการร่างหลัก 6 ประการดังกล่าว ได้เสนอ "เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ" หรือเรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" สู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา 14 คน โดยประชุมในวันที่ 12 มีนาคม 2476 ในการประชุมมีความเห็นแตกต่างกันเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่คัดค้านนำโดย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิศาลวาจา และพระยาทรงสุรเดช ฝ่ายสนับสนุนนำโดย หลวงประดิษฐมนูธรรม นายแนบ พหลโยธิน นายทวี บุณยเกตุ และ ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ ทำให้มติของคณะอนุกรรมการไม่เป็นที่เด็ดขาด ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติม
แต่แล้วหลังจากคณะรัฐมนตรีใช้เวลาพิจารณาถึง 2 ครั้งในวันที่ 25 และ 28 มีนาคม 2476 โดยหลวงประดิษฐฯ ยืนยันว่าจะลาออกหากคณะรัฐมนตรีไม่เห็นชอบ ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้หลวงประดิษฐฯ ลาออก แต่ในการประชุมครั้งที่สอง ฝ่ายพระยามโนฯ ได้นำพระราชบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติไม่ให้ความเห็นชอบเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ ถึง 11 เสียง ต่อ 3 เสียง (งดออกเสียง 5 คน) จากจำนวนผู้เข้าประชุม 19 คน
มีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งสำคัญ ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาสู่การเมืองภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนถึงทุก วันเป็นเวลาถึง 3 ใน 4 ศตวรรษ คือ มีความเห็นหลายฝ่ายมองว่า "สมุดปกเหลือง" นั้นมีลักษณะเค้าโครงเศรษฐกิจของคอมมิวนิสต์ บ้างถึงกับกล่าวว่าถ้านายปรีดีไม่ลอกมาจากสตาลิน สตาลินก็ต้องลอกมาจากนายปรีดี ก่อให้เกิดความเห็นขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในหมู่คณะราษฎรด้วยกันเองและบรรดาข้าราชการ พระยาทรงสุรเดชชักนำพระยาฤทธิ์อัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ ทหารเสืออีก 2 คน สนับสนุนพระยามโนปกรณ์ฯ แต่ในส่วนของบรรดานายทหารคณะราษฎรส่วนใหญ่รวมทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนายังคง ให้การสนับสนุนนายปรีดีอยู่
ทั้งนี้ในช่วงก่อนหน้า คือในวันที่ 17 มีนาคม 2476 มีกระทู้ถามรัฐบาลเรื่องคำสั่งห้ามข้าราชการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง ในวันที่ 30 มีนาคม ที่ประชุมสภาฯ มีมติว่า รัฐบาลกระทำผิดรัฐธรรมนูญและให้ถอนคำสั่ง
คณะนายทหารที่สนับสนุนพระยามโนฯ มีการเคลื่อนไหวกดดันฝ่ายที่สนับสนุนนายปรีดีว่า จะพกปืนเข้าที่ประชุมสภาฯ และยกพวกไปล้อมบ้านพักของนายปรีดี ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างให้มีพระราชกฤษฎีกาปิดสภาฯ พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการ "รัฐประหารเงียบ" มีการออกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ 2476 และกวาดล้างจับกุมชาวเวียดนามที่สงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ รวมทั้งคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์สยามก็ถูกจับและถูกจำคุก และสุดท้ายคือบีบบังคับนายปรีดีไปที่ประเทศฝรั่งเศส
ทั้งนี้ตอนหนึ่งในคำแถลงการณ์ปิดสภาฯของพระยามโนฯ มีความว่า
"...ในคณะรัฐมนตรี ณ บัดนี้ เกิดการแตกแยกเป็น ๒ พวก มีความเห็นแตกต่างกัน ความเห็นข้างน้อยนั้นปรารถนาที่จะวางนโยบายเศรษฐกิจไปในทางอันมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ ความเห็นข้างมากนั้นเห็นว่านโยบายเช่นนั้นเป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบประเพณีชาวสยาม และเป็นที่เห็นได้โดยแน่นอนทีเดียวว่านโยบายเช่นนั้น จักนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร และเป็นมหันตภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ..."
การรัฐประหาร (ตัวเอง) ครั้งแรกโดยฝ่ายบริหาร มาพร้อมกับข้อกล่าวหาของผู้เผด็จอำนาจในสยามประเทศชนิดครอบจักรวาลที่ใช้สืบ เนื่องมาหลายปี นั่นคือข้อหา...
"มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์".
พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 21-27 สิงหาคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น