ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (33)

สฤษดิ์ ธนะรัชต์: นายกรัฐมนตรีจนวาระสุดท้าย

สำหรับที่มาของฉายา "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" ซึ่งเจ้าตัวภูมิใจนักหนา ทั้งนี้เพราะมีที่มาจากการเป็นอาภรณ์เพียงชิ้นเดียวสำหรับต้อนรับ "สาวแก่แม่ม่าย" (ผู้มักจะได้รับการปรับสถานภาพเป็น "อนุภรรยา" ในเวลาต่อมา) ที่คนสนิทพามาพบที่ "วิมานสีชมพู" อันเป็นบ้านพักหลังกองพล 1 หรือกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล 1 รอ.) ซึ่ง "จอมพล 3 คนสุดท้ายของราชอาณาจักรไทย" เคยมาเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาทังสิ้น คือ พลตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พ.ศ.2491-2493) พลตรี ถนอม กิตติขจร (พ.ศ.2493-2495) และ พลตรี ประภาส จารุเสถียร (พ.ศ.2495-2500)

ผลประการหนึ่งจากนโยบาย "เชือดไก่ให้ลิงดู" ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นเหตุให้ขบวนการนิสิตนักศึกษายุคหลังกึ่งพุทธกาล ตกอยู่ในสภาพชะงักงันต่อเนื่องกว่า 1 ทศวรรษ เป็นการยุติบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลจากช่วงก่อนหน้านั้นนับจากปี 2490 จนถึงการชุมนุมเดินขบวนคัดค้าน "เลือกตั้งสกปรก 26 กุมภาพันธ์ 2500" โดยสิ้นเชิง ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีกล่าวชมเชยในการปราศรัยแสดงความยินดีต่อบัณฑิต 2503 ของนายกรัฐมนตรี ว่า "...ในยุคหลังนี้ได้รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในมหาวิทยาลัยและทำตนเป็นนักศึกษาอย่างแท้จริง คือตั้งใจศึกษาหาความรู้ เหตุการณ์ไม่เรียบร้อยที่เคยมีมาในครั้งก่อนๆได้ลดน้อยลงเป็นอันมาก ซึ่งนับเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่สถาบันการศึกษาสูงสุดของชาติ" (จาก เอกสารประกอบการสังคายนาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวาระงาน 50 ปี ธรรมศาสตร์ โดยมี ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, นิธิ เอียวศรีวงศ์, ธงชัย วินิจจะกูล ฯลฯ ร่วมเป็นกรรมการ)

นอกจากนั้น นักศึกษาที่เคยมีบทบาทในช่วงที่ผ่านมา จะถูกจับตามองด้วยความไม่ไว้วางใจ รัฐบาลเผด็จการใช้อำนาจทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการเข้าควบคุมกิจกรรมนิสิตนักศึกษาได้อย่างเด็ดขาด ขบวนการนักศึกษามีความอ่อนแอที่สุด ไม่มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ใดๆออกมาให้เห็น ความเข้าใจต่ออุดมการทางสังคมที่เคยมีการปฏิบัติการมาตลอดขาดช่วงลงอย่างสิ้นเชิง

ในขณะเดียวกันจากคลี่คลายขยายตัวของสถานการณ์การเมืองระดับโลกภายหลังสงครามเกาหลี (2493-2496) นำไปสู่ยุค "สงครามเย็น" ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างไทยไทยกับสหรัฐอเมริกาอย่างแบแน่น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรับรองจนประเทศไทยไม่ต้องตกเป็น "ประเทศแพ้สงคราม" หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือ หลังจากสถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จของจอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2502 การร่วมมือที่มีลักษณะแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เริ่มจากการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเริ่มในปี 2504 เพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นบนพื้นฐานทุนเอกชน อันเป็นการขยายตลาดการค้าและวัตถุดิบและนโยบายเศรษฐกิจชนิดที่ต้องพึงพาและขึ้นต่อสหรัฐไปโดยปริยาย

ในขณะเดียวกัน การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเอกราชของขบวนการประชาชนในอินโดจีนที่นำโดย "พรรคคอมมิวนิสต์" ในแต่ละประเทศ ทำให้ไทยมีความสำคัญต่อการวางนโยบายของสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นตาม "ทฤษฎีโดมิโน" ซึ่งเคยเป็นความคิดชี้นำทางการเมืองของ "โลกเสรี" ที่ว่าหากประเทศใดประเทศหนึ่งในภูมิภาคกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่นๆจะต้องถูกยึดครองแล้วกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามกันไป ซึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ สหรัฐมองว่าประเทศไทยเป็นปราการสำคัญที่สุดในการป้องกันการแผ่ขยายอำนาจของ "ค่ายสังคมนิยม" หรือ "คอมมิวนิสต์" จึงต้องทุ่มเทความช่วยเหลือ โดยเฉพาะด้านกำลังอาวุธจำนวนมากให้ไทย ช่วยฝึกทหารไทย และความช่วยเหลืออื่นๆด้านการทหารเพิ่มขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐฯ ยังเข้ามาสร้างและขยายปรับปรุงฐานทัพในประเทศไทยหลายแห่ง เพื่อสนับสนุนการขนส่ง ปฏิบัติการด้านข่าวกรองและระบบเตือนภัย เป็นฐานสำหรับเครื่องบินขับไล่สู้รบทางอากาศและเครื่องบินทิ้งระเบิด และเป็นฐานสำหรับควบคุมสงครามสมัยใหม่ในยุคอิเลกทรอนิกส์ เริ่มตั้งแต่ติด ตั้งระบบควบคุมอากาศยานและระบบเตือนภัยที่สนามบินดอนเมือง และสร้างสนามบินตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ในปี 2504 มีการพัฒนาฐานทัพที่โคราชในปี 2505 มีการปรับปรุงฐานทัพอากาศที่จังหวัดนครพนมในปี 2506

แต่กระนั้นก็ตาม ภายหลังการเสียชีวิตของนายกรัฐมนตรีคนเดียวในขณะที่ดำรงตำแหน่งของ "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ด้วยโรคไตพิการที่เรื้อรังที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และถือว่าเป็นการสิ้นสุดลงของ "ระบอบสฤษดิ์" รัฐบาลสหรัฐก็ยังคงทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง คือ ฐานทัพที่อุดรธานี ซึ่งเป็นกองบัญชาการของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยถูกสร้างขึ้นในปี 2507 ฐานทัพที่อู่ตะเภาสร้างเสร็จในปี 2509 และมีการปรับปรุงสนามบินน้ำพอง ที่จังหวัดขอนแก่น ก็ได้รับการปรับปรุง ในปี 2515 เพื่อรองรับหน่วยบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ที่ย้ายมาจากเวียดนาม

ต่อมา พลเอกถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบว่า ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกราบบังคมทูลให้ทรงทราบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดพิธีศพแก่นายกรัฐมนตรีอย่างมีเกียรติสูง โดยทรงพระราชดำริว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองอย่างมากมาย จึงสมควรให้จัดพิธีการศพให้สูงกว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อาทิเช่นพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พระราชทานโกฏกุดั่นทองน้อย เทียบเท่าพระบรมวงศ์เธอ (ทรงกรม) และให้ตั้งศพที่พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร, ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก และให้ข้าราชการไว้ทุกข์ เป็นเวลา 21 วัน, ให้ลดธงครึ่งเสา 7 วัน, โปรดเกล้าฯให้งดงานพิธีต่างๆ คือ งานพระราชอุทธยานสโมสรวันที่ 9 ธันวาคม งานพิธีวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม และงานกาชาดในวันที่ 27 ธันวาคม 2506 ด้วย ทั้งยังให้เลื่อนการเสด็จเยี่ยมประเทศไทยของกษัตริย์มาเลเซียและการเยี่ยมของคณะทูตเวียดนามออกไป

หลังจากนั้นไม่นานบรรดาทายาทและภรรยา โดยเฉพาะภรรยาคนสุดท้าย คือ ท่านผู้หญิงวิจิตรา (นามสกุลเดิม "ชลทรัพย์") เกิดมีเรื่องฟ้องร้องเป็นคดีความใหญ่โตเกี่ยวกับกองมรดกซึ่งมีมูลค่ามหาศาล 2,874,009,794 บาท รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์เป็นที่ดินมากกว่า 20,000 ไร่ในต่างจังหวัด และที่ดินอีกนับแปลงไม่ถ้วนทั้งในและทั่วพระนครที่ประเมินค่ามิได้ รวมทั้งผลประโยชน์ในธุรกิจการค้า ถึง 45 บริษัท

ท้ายที่สุด คณะกรรมการสอบสวนที่แต่งตั้งโดยจอมพลถนอม นายกรัฐมนตรี ก็สรุปว่าทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์มีจำนวนมากที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และรัฐบาลได้ประกาศริบทรัพย์เป็นจำนวน 574,328,078 บาท ซึ่งเป็นการยึดทรัพย์นักการเมืองเป็นครั้งแรกของประเทศไทยนับตั้งแต่การอภิวัฒน์สยาม 2475.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 31 ตุลาคม - 6 พฤศจิกายน 2552
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (52)

"คณะปฏิรูปฯ" และ "รัฐบาลหอย" กับมรสุมลูกแรก กบฏ 26 มีนาคม 2520 ตอนเย็นวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั่นเอง นายทหารคณะหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในนาม "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช โดยให้เหตุผลในคำประกาศว่า เพื่อกอบกู้สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้พ้นจากสถานการณ์อันเลวร้าย จึงยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2517 ยุบรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ประกาศใช้กฎอัยการศึก รวมทั้งห้ามประชาชนออกนอกบ้านระหว่าง 01.00 – 04.30 น. จากนั้นในวันที่ 8 ตุลาคม พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นการการสิ้นสุดระบอบประชาธิปไตยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนที่รวมตัวกันล้มระบอบเผด็จการทหาร พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ตั้งคณะรัฐมนต...

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (56)

เรื่องของ "เปรม": เส้นทางที่ไม่ได้เลือก? รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการรวบรวมและดำเนินคดีในฐานะกบฏคณะบุคคลทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งประกาศให้ให้ผู้ร่วมก่อความไม่สงบรายงานเข้ารายงานตัว จนถึงเวลาที่กำหนดเป็นเส้นตาย มีผู้รายงานตัวครบ 289 คน เป็นพลเรือน 110 คน เช่น นายรักศักดิ์ วัฒนาพานิช และ นายบุญชนะ อัตถากร ตำรวจ 25 คน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และทหาร 154 คน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลุ่มทหารหนุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก (Young Turk)" ทั้งนี้เป็นการเรียกขานกันโดยมีที่มาจากขบวนการปัญญาชนหัวใหม่ปลายยุคอาณาจักรออตโตมาน ที่ลุกขึ้นปฏิวัติประชาธิปไตยระหว่างปี ค.ศ. 1876 ถึงปี ค.ศ. 1923 ผู้นำคนสำคัญคือ มุสตาฟา เคมาล (Mustafa Kemal) ซึ่งก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำผู้นำในการต่อสู้ขับไล่กองกำลังต่างชาติ ใน "สงครามเพื่อการปลดปล่อย (War of Liberation)" ช่วงปี ค.ศ. 1919-1923 จนเกิด สาธารณรัฐตุรกี จึงมีชื่อเรียกความพยายามทำรัฐประหารครั้งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "กบฏยังเติร์ก" ในจำนวนแกนนำระดับหัวหน้าผู้ก่อการคนสำคัญที่เดินทางออกนอกประเทศ พ.อ.มนูญ รูปขจร ลี...

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (50)

6 ตุลาคม 2519 วันสังหารนกพิราบ ในวันที่ 2 ตุลาคม 2519 อันเป็นกำหนดเวลาเส้นตายที่ศูนย์นิสิตฯยื่นต่อรัฐบาล ทางฝ่าย กระทิงแดง ยกกำลังอันธพาลทางการเมืองจำนวนหนึ่งอ้างว่าเพื่อป้องกันการบุกรุกมาตั้งแนวล้อมวัดบวรนิเวศ ปรากฏว่าหลังจากตัวแทนตัวแทนศูนย์นิสิตฯ ไม่ได้รับคำตอบใดจากการเข้าพบนายกรัฐมนตรี จึงกลับออกมาและเรียกประชุมได้ข้อสรุปออกมาเป้นมติให้มีการชุมนุมประชาชนครั้งใหญ่ที่สนามหลวงในเวลาเย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม ต่อมานับจากช่วงเช้าของวันที่ 4 ตุลาคมนั้นเอง กลุ่มนักศึกษาอิสระในธรรมศาสตร์รวม 21 กลุ่ม เริ่มการรณรงค์ให้นักศึกษางดสอบและเข้าร่วมการประท้วงขับไล่จอมพลถนอม ในการนี้ ชมรมนาฏศิลป์และการละครได้จัดการแสดงละครปลุกเร้าจิตสำนึกทางการเมือง โดยมีฉากหนึ่งที่เป็นภาพสะท้อนถึงช่างไฟฟ้าที่ถูกสังหารที่นครปฐม ปรากฏว่าการรณรงค์ประสบผลจนทำให้มหาวิทยาลัยต้องประกาศเลื่อนการสอบออกไปอย่างไม่มีกำหนด ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. ประชาชนเริ่มทยอยกันมาชุมนุมที่สนามหลวง แล้วเกิดฝนตก แต่ในขณะเดียวกันมีสัญญาณบ่งบอกว่าในช่วงกลางคืนน่าจะมีการคุกคามโดยกลุ่มที่ต่อต้านนิสิต นักศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มว่าผลักดันโดยขบ...