วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง ‘กบฏ 9 กันยา’ กับปฏิบัติการรัฐประหารที่ล้มเหลว : 2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (58)

รัฐนาวาที่ดูเหมือนไม่มีวันอับปาง
กับความล้มเหลว "กบฏ 9 กันยา"

ในเวลาต่อมา ฝ่ายค้านนำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร และคณะได้เสนอญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 พฤษภาคม 2527 โดยมุ่งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.สิทธิ์ จิรโรจน์ ในประเด็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การดำเนินการทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เรื่องยาเสพติดให้โทษและการบริหารบ้านเมือง แต่เนื่องจากผู้เสนอญัตติไม่อยู่ชี้แจงในที่ประชุม ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงวินิจฉัยว่าญัตติตกไป

และจากการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศลดค่าเงินบาทในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 ส่งผลให้ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดังกล่าวและให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ทั้งยังออกอากาศทางสถานโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เสนอให้ปรับคณะรัฐมนตรี และให้ยืนค่าเงินตามอัตราเดิม ซึ่งในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2527 นายไพจิตร เอื้อทวีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อยืนยันความถูกต้องในการตัดสินใจลดค่าเงินบาท

กรณีที่พล.อ.อาทิตย์ โจมตีรัฐบาลเรื่องลดค่าเงินบาทนี้ มีผลต่อสัมพันธภาพที่เคยแนบแน่นระหว่างพล.อ.เปรม กับพล.อ.อาทิตย์

วันที่ 15 เมษายน 2528 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาแทนสมาชิกวุฒิสภาที่จับสลากหมุนเวียนออก จำนวน 75 คน และแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ขาดอีก 1 ตำแหน่ง รวมแต่งตั้งใหม่ 76 คน รวมกับสมาชิกสภาเดิมเป็น 260 คน

ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 สภาผู้แทนราษฎรจัดการประชุมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามญัตติของนายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทย และคณะ โดยระบุตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ การอภิปรายใช้เวลาถึง 14 ชั่วโมง ผลการลงมติปรากฏว่ารัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปรายได้รับความไว้วางใจ

แต่แล้วในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2528 เกิดความพยายามก่อรัฐประหารของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พ.อ.มนูญ รูปขจร, พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พล.อ.เสริม ณ นคร, พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งประกอบด้วยผู้นำแรงงานคนสำคัญๆ ได้แก่ นายสวัสดิ์ ลูกโดด, นายอาหมัด ขามเทศทอง, นายประทิน ธำรงจ้อย ฯลฯ และบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีข่าวว่าให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่กลุ่มผู้ก่อการ คือ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้เพิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีแชร์ชาร์เตอร์ ได้ปรากฏตัวขึ้นที่กองบัญชาการรัฐประหารในฐานะแกนนำคนสำคัญ การกบฎครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศ อินโดนีเซีย ส่วนพล.อ.อาทิตย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป

การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 03.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การ สื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พล.อ.เสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ทั้งนี้นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้และผู้นำสหภาพแรงงานและกำลังทหารส่วนหนึ่ง เข้าไปยึดองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และควบคุมตัวนายพิเชษฐ สถิรชวาล ผู้อำนวยการฯ ในขณะนั้น เพื่อนำรถขนส่งมวลชนไปรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานเข้ามาร่วมด้วย

ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ., พล.ท.ชวลิต ยงใจยุทธ รองเสนาธิการทหารบก, พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการกองกำลังฝ่ายรัฐบาลขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าปราบปรามฝ่ายก่อรัฐประหาร และออกแถลงการณ์ตอบโต้ในนามของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5 ประกอบด้วย พล.ท.สุจินดา คราประยูร, พล.ท.อิสระพงศ์ หนุนภักดี, พล.อ.ท.เกษตร โรจนนิล ฯลฯ

เวลาประมาณ 09.50 น. รถถังของฝ่ายกบฏ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเอ็ม 60 เข้าไปยังกรมประมวลข่าวกลาง ที่ตั้งอยู่ในวังปารุสก์ฯ เป็นเหตุให้ นีล เดวิส ผู้สื่อข่าวต่างประเทศชาวออสเตรเลีย และ บิล แรตช์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกัน ของเครือข่ายเอ็นบีซี เสียชีวิต

กำลังทั้งสองฝ่ายเปิดฉากเริ่มปะทะกันอย่างรุนแรงในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางทหาร บนถนนราชดำเนินนอกของกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. การเจรจาเพื่อสงบศึกได้เริ่มขึ้น โดยมี พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล เจรจากับ พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แกนนำคนสำคัญฝ่ายรัฐประหาร จนที่สุดฝ่ายกบฏยินยอมยกเลิกปฏิบัติการ 17.30 น. สถานการณ์ที่ตึงเครียดบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มคลี่คลายเข้าสู่ความสงบ กองกำลังทั้งสองฝ่ายถอนตัวออกจากปฏิบัติการกลับเข้าที่ตั้ง

ในเวลา 18.30 น. พล.ท.พิจิตร และ พล.ท.ชวลิต ได้เดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อส่งตัว พ.อ.มนูญ และ น.อ.ท. มนัส รูปขจร สองแกนนำคนสำคัญในการรัฐประหารครั้งนี้ให้เดินทางไปยังสิงคโปร์ ก่อนจะติดต่อขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในประเทศเยอรมันตะวันตก (ในเวลานั้น)

ส่วน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ทันที

ผลจากการกบฏล้มเหลว มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนีไปได้ 10 คน

สำหรับสาเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ในความพยายามก่อรัฐประหารจนกลายเป็นเพียง "กบฏ" ว่ากันว่า พ.อ.มนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึดอำนาจ เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่จะนำกำลังออกมาสมทบ และการกบฏครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจาก "นัดแล้วไม่มา" ซึ่งในการปราศรัยของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผ่านวิดิโอลิงก์เมื่อมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม นปช. ในวันที่ 5 เมษายน 2552 ระบุ ว่า พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นบุคคลที่ "นัดแล้วไม่มา" (จาก ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย : http://politicalbase.in.th/index.php/รัฐประหาร_9_กันยายน_2528)


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 24-30 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง  ผู้เขียน อริน

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

รัฐบาลเปรม 2/1: ซื่อสัตย์แต่ขาดความสามารถ กับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (57)

อภิปราย "รัฐบาลเปรม 2/1":
ซื่อสัตย์แต่ขาดความสามารถ…


การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฟากรัฐบาลจัดเป็นครั้งแรก ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2524 ตามข้อเสนอของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีและสมาชิกผู้แทนราษฎรประมาณ 100 คน ร่วมประชุม แต่หลังจากนั้นไม่ทันไรนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้ากลุ่มประชากรไทยกับคณะ ได้เสนอขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม ในวันที่ 28 พฤษภาคม และลงมติในวันที่ 1 มิถุนายน ผลการประชุมได้ลงมติไว้วางใจ

ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม 2524 ได้มีพระบรมราชองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้พระราชบัญญัติพรรคการเมือง ทั้งนี้มีพรรคการเมืองมายื่นขอจดทะเบียนทั้งหมดรวม 20 พรรค

ในขณะเดียวกันความยุ่งยากในการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยแรกของนายกฯ ที่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งก็เริ่มส่อเค้าขึ้น ไล่มาตั้งแต่ปัญหาการเลือกตั้งอธิบดีกรมอัยการ ปัญหากรณีส่อเค้าทุจริตการสอบเป็นนายร้อยตำรวจตรี การจับแหล่งปลอมปนน้ำมันขนาดใหญ่ หรือแม้กระทั่งการกวดขันสถานเริงรมย์ นอกจากนี้ปรากฏการณ์ "คนป่าคืนเมือง" เป็นจำนวนมาก จากอดีตนักเรียน นิสิต นักศึกษา และปัญญาชนนักวิชาการ ตลอดจนประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ที่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) หลัง "กรณีนองเลือด 6 ตาลาฯ" พร้อมกันนั้นมีการกวาดล้ายค่าย "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" ขนาดใหญ่หลายแห่งทางภาคใต้ของประเทศ

ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ที่กดดันรัฐบาลแทบจะทุกยุคทุกสมัยคือปัญหาในกรุงเทพมหานครนี้เอง ซึ่งก็ได้แก่ ปัญหาการต่อต้านการย้ายตลาดนัดที่สนามหลวงไปอยู่ที่สวนจตุจักร และการต่อด้านของนักศึกษาเรื่องการขึ้นค่ารถเมล์จนทำให้รัฐบาลต้องชะลอไปก่อน และเมื่อเปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 10 ธันวาคม พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ หัวหน้าพรรคชาติประชาไทย ได้ยื่นญัตติปัญหาเศรษฐกิจต่อรัฐบาล เปิดโอกาสให้รัฐบาลชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ

ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 2 รัฐบาลได้เชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมคณะด้วย โดยนายบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งลาออกจากรองหัวหน้าพรรคกิจสังคมก่อนหน้านี้มิได้ร่วมคณะรัฐบาลด้วย โดยคัดค้านการเข้าร่วมรัฐบาลในเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ

ต่อมามีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 8 กระทรวง รัฐสภาได้กำหนดให้มีการเปิดอภิปรายในวันที่ 2 และวันที่ 3 มิถุนายน 2525 เป็นเวลา 2 วัน รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเสร็จการอภิปรายแล้วถึงแม้ว่าที่ประชุมลงมติไว้วางใจรัฐมนตรีทุกกระทรวง แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนอภิปรายว่ารัฐบาลไม่สามารถดำเนินตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภา

พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งโดดเด่นขึ้นมาในคราวปราบกบฏ 1 เมษายน 2524 ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจากพล.อ.ประยุทธ จารุมณี ในเดือนกันยายน 2525 พร้อมกับรับมอบตำแหน่งประธานคณะกรรมการกองหนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ

ต่อมาในระหว่างการเปิดประชุมสมัยวิสามัญในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2526 เพื่อยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฝ่าย ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งแบ่งฝ่ายกันชัดเจน และการวิพากษ์วิจารณ์แผ่ขยายเป็นวงกว้างออกไปทุกที พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงประกาศยุบสภาในวันที่ 19 มีนาคม 2526 ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้ประชาชนได้แสดงเจตจำนงใหม่ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

จากการที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน 2526 การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้จะต้องสมัครในนามพรรคการเมือง และพรรคจะต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งหมดตามรัฐธรรมนูญ 2521 และตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง ซึ่งประกาศใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2524

การเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน 2526 ตามรัฐธรรมนูญ 2521 และตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง ซึ่งประกาศใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2524 ที่กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องสมัครในนามพรรคการเมือง และพรรคจะต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรทั้งหมด ปรากฏผลดังนี้ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 324 คน พรรคกิจสังคมมีผู้แทนราษฎรมากที่สุด 92 คน พรรคชาติไทยได้ 73 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 56 คน พรรคประชากรไทยได้ 36 คน และพรรคอื่นๆ อีกรวม 10 พรรค

ส่วนสมาชิกวุฒิสภา ได้มีการจับสลากออกหนึ่งในสามเท่ากับ 75 คน และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ในวันที่ 19 เมษายน 2526 จำนวน 75 คน และเพิ่มเติมอีก 18 คน รวมเป็นสมาชิกวุฒิสภา 243 คน รวมสมาชิกรัฐสภา 567 คน

หลังจากการเลือกตั้งแล้ว ได้มีการเสนอบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึงพรรคการเมืองหลายพรรคให้การสนับสนุน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นรัฐบาลชุดที่ 43 หรือรัฐบาลเปรม 2/1 จากนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ในวันที่ 30 เมษายน 2526 และแต่งตั้งรัฐมนตรี จำนวน 44 คน รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 20 พฤษภาคม 2526

คณะรัฐบาลจากพรรคการเมือง 4 พรรค ได้แก่ พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชากรไทย และพรรคชาติประชาธิปไตย รวมทั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ไม่สังกัดพรรคด้วย โดยมีพรรคชาติไทยเป็นฝ่ายค้าน และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านคือ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร

พล.อ.เปรม ต้องเผชิญศึกหนักในสภานับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้นำในการบริหารประเทศในรอบนี้ เริ่มจากญัตติของพรรคชาติไทยขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งกำหนดให้มีการอภิปรายในวันที่ 13 และ 14 กรกฎาคม 2526 แต่แล้วไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจเพราะฝ่ายรัฐบาลชิงเสนอให้ผ่านระเบียบวาระ เปิดอภิปรายไปตามสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา 137 วรรคสองเสียก่อน

ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2527 พรรคชาติไทยยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ปรากฏว่ามีรายชื่อไม่ครบ 65 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ญัตติดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ

ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงจัดอภิปรายนอกสภา ไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่โรงแรมดุสิตธานี ในวันที่ 29 มกราคม 2527 โดยมีข้อสรุปว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แต่ขาดความรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้ เนื่องจากมีผู้ร่วมรัฐบาลที่ไม่มีความสามารถและมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ.



พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 17-23 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (56)

เรื่องของ "เปรม": เส้นทางที่ไม่ได้เลือก?

รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการรวบรวมและดำเนินคดีในฐานะกบฏคณะบุคคลทั้งทหารและพลเรือน รวมทั้งประกาศให้ให้ผู้ร่วมก่อความไม่สงบรายงานเข้ารายงานตัว จนถึงเวลาที่กำหนดเป็นเส้นตาย มีผู้รายงานตัวครบ 289 คน เป็นพลเรือน 110 คน เช่น นายรักศักดิ์ วัฒนาพานิช และนายบุญชนะ อัตถากร ตำรวจ 25 คน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และทหาร 154 คน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลุ่มทหารหนุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก (Young Turk)" ทั้งนี้เป็นการเรียกขานกันโดยมีที่มาจากขบวนการปัญญาชนหัวใหม่ปลายยุคอาณาจักรออตโตมาน ที่ลุกขึ้นปฏิวัติประชาธิปไตยระหว่างปี ค.ศ. 1876 ถึงปี ค.ศ. 1923 ผู้นำคนสำคัญคือ มุสตาฟา เคมาล (Mustafa Kemal) ซึ่งก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำผู้นำในการต่อสู้ขับไล่กองกำลังต่างชาติ ใน "สงครามเพื่อการปลดปล่อย (War of Liberation)" ช่วงปี ค.ศ. 1919-1923 จนเกิดสาธารณรัฐตุรกี

จึงมีชื่อเรียกความพยายามทำรัฐประหารครั้งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "กบฏยังเติร์ก" ในจำนวนแกนนำระดับหัวหน้าผู้ก่อการคนสำคัญที่เดินทางออกนอกประเทศ พ.อ.มนูญ รูปขจร ลี้ภัย ณ ประเทศเยอรมนี และในเวลาต่อมาข้าราชการทหาร ตำรวจที่เข้าร่วมก่อการครั้งนี้ต่างได้รับพระราชทานอภัยโทษ ได้รับนิรโทษกรรมทางการเมือง และได้รับการคืนยศทางทหาร โดยที่บางคนก็กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง

ภายหลังเหตุการณ์ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่เอาการเอางานคนสำคัญในการคุมกำลังทหารต่อต้านการกบฏ ได้รับความไว้ใจจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นอันมาก ได้เลื่อนเป็นพลโท แม่ทัพภาคที่ 1 คุมกองกำลังรักษาพระนคร และเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ใน 6 เดือนต่อมา

สำหรับเส้นทางการก้าวบนชีวิตราชการประจำในฐานะทหารอาชีพจนมาถึงตำแหน่งผู้บัญชาชากรเหล่าทัพ และในเส้นทางข้าราชการการเมืองในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 2 กระทรวง กระทั่งถึงที่สุดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั้น มีความเป็นมาพอสังเขปดังนี้

********************

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรคนที่ 6 ของอำมาตย์โท หลวงวินิจฑัณทกรรม [ต้นสกุลพระราชทาน "ติณสูลานนท์" ลำดับที่ 5121 แก่ขุนวินิจภัณฑกรรม (บึ้ง) พธำมรงค์จังหวัดสงขลา] กับ นางออด ติณสูลานนท์ เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนวัดบ่อยาง และศึกษาต่อที่โรงเรียนวชิราวุธ จังหวัดสงขลา จากนั้นเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานครที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเข้าศึกษาจนจบการศึกษาหลักสูตรพิเศษโรงเรียนเทคนิคทหารบก (ก่อตั้งเมื่อปี 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า

ในปี 2484 ร่วมรบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ปอยเปต กัมพูชา จากนั้นเข้าสังกัดกองทัพพายัพ ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) ร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบุรพา (สงครามโลกครั้งที่สอง) ระหว่างปี 2485-2488 ที่เชียงตุง

หลังสงครามย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ที่ ฟอร์ตน็อกซ์ มลรัฐเคนตักกี พร้อมกับพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.อ.วิจิตร สุขมาก เมื่อปี 2495 แล้วกลับมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี

ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เลื่อนยศเป็นพันเอกในปี 2502 ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ และได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นในปี 2506 ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า

ต่อมาในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจรได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ยศพลตรี เมื่อปี 2511 พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เหตุการณ์การเมืองช่วงนั้นการเลือกตั้งปี 2512 จอมพลถนอมจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคสหประชาไทย แต่แล้วมีการ "รัฐประหารตนเอง 17 พฤศจิกายน 2514" ตามมาด้วยเหตุการณ์ "14 ตุลาฯ" อันเป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครอง "เผด็จการทหารสฤษดิ์-แปลก-ถนอม"

ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 ในปี 2516 และเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ในปี 2517 พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ "สภาสนามม้า" ซึ่งนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พุทธศักราช 2517

เข้าร่วมการรัฐประหาร 2 ครั้ง นำโดยพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ล้มรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม 2520 ล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร พร้อมกับได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น ในปี 2522 ช่วงปลายรัฐบาลพล.อ.เกรียงศักดิ์ จึงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

พล.อ.เปรมสร้างความฮือฮาเกี่ยวกับการแต่งกายที่ต่อมาเรียกกันว่า "ชุดพระราชทาน" และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไปในที่สุด ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้นเอง โดยได้ใส่ครั้งแรกในโอกาสที่ พล.อ.เปรมเป็นประธานเปิดงานฉลองครบ 60 ปี ของวงเวียน 22 กรกฎาคม และยังได้สวมชุดดังกล่าวเข้าไปในสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมปีเดียวกันอีก

********************

ในเวลานั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 พุทธศักราช 2521 เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มการเมืองฟากประชาธิปไตยมาโดยตลอด กลายเป็นพลังผลักดันให้เกิดคณะทำงานรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย (ครป.) มี พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เป็นประธาน จัดประชุมสมัชชา ครป.ระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2524 โดยได้แถลงข้อสรุปว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีหลักการสำคัญ อาทิ...

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกึ่งหนึ่งต้องมาจากเลือกตั้ง และต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ผู้มีอายุ 18 ปี บริบูรณ์มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และสังกัดพรรคการเมือง ให้สิทธิในการชุมนุมและจัดตั้งสหภาพแรงงาน ให้ยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อป้องกันมิให้เกิดการรัฐประหาร ฯลฯ.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 10-16 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (55)

1 ปีรัฐบาลเปรม 1-2: "กบฏเมษาฮาวาย" พ่าย

หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งนายกรัฐมนตรี ผลงานลำดับแรกของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คือการแจ้งแก่กลุ่มการเมืองต่างๆในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันหารือเสนอรายชื่อตัวบุคคลเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี โดยจะให้มีรัฐมนตรีร่วมคณะน้อยที่สุด เพื่อจัดตั้งรัฐบาลภายใน 15 วัน ซึ่งในที่สุดวันที่ 12 มีนาคม 2523 จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีรวม 37 คน

พลเอกเปรมกล่าวปราศรัยต่อประชาชนทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ทุกเครือข่าย ก่อนที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อขอความไว้วางใจ ในวันที่ 29 มีนาคม 2523 เพื่อที่จะเข้าแบกรับภารกิจการบริหารประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีที่มาจากนายทหารระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาแล้ว 2 กระทรวงตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ

หนึ่งในปัญหาหลักของคณะผู้บริหารประเทศในช่วงเวลาคาบเกี่ยวการสิ้นสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ดำเนินสงครามประชาชนอยู่ในเขตป่าเขามาตั้งแต่ปี 2508 นั้น ย่อมหนีไม่พ้น ปัญหาการการขับเคี่ยวกันระหว่างรัฐบาลกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ที่รัฐบาลหลังการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เรียกว่า "การปราบปรามผู้ก่อการร้าย" และมีการขยายตัวของปัญหานี้ยิ่งขึ้นอย่างไม่เคยมาก่อนหลังกรณีสังหารโหด 6 ตุลาคม 2519 ที่มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ตลอดจนครูอาจารย์ นักวิชาการ และนักประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยบุคคลวงการต่างๆจำนวนมาก เดินเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์

ทั้งนี้ ปัญหาเรื้อรังทางเศรษฐกิจในการผลิตภาคเกษตรกรรม เนื่องจากรัฐบาลทหารที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มักให้ความสำคัญกับปัญหาผู้ก่อการร้ายก่อนปัญหาอื่น ดังจะเห็นได้จากงบประมาณในการพัฒนาประเทศ เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว มักจะกลายเป็นเรื่องมาทีหลังงบประมาณด้านความมั่นคง

นอกจากนั้นปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในภาครัฐ ก็บั่นทอนเสถียรภาพของหลายรัฐบาลมาโดยตลอดเช่นกัน ในช่วงรัฐบาลเปรม 1 มีคดีทุจริตใหญ่หลายคดี เช่น การทุจริตโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 2 สำนวน คือ (1) ร่วมกันอนุมัติกำไรสุทธิของโรงพิมพ์เป็นโบนัสและรางวัลแก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ พ.ศ.2514 – 2520 รวม 20,804,000 บาท มีผู้ต้องหา 14 คน (2) นำเงินกำไรการพิมพ์บัตรประชาชนไปจ่ายเป็นเงินรางวัลให้กับตนเองและผู้อื่น รวม 8,527980 บาท มีผู้ต้องหา 5 คน

ตามมาด้วยการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจจังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ร่วมทุจริตได้ 24 คน และการทุจริตซื้อขายข้อสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารหัวละ 50,000 บาท พลเอก เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ลงนามของกองบัญชาการทหารสูงสุด ยกเลิกการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารปีการศึกษา 2523 เนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนที่สอบผ่านข้อเขียนประมาณ 300 คน มาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล การชุมนุมสลายตัวเมื่อได้ทราบคำตอบให้รอฟังประกาศของกองบัญชาทหารสูงสุด ฯลฯ

จากนั้นวิกฤตปัญหาน้ำมันปิโตรเลียม นำไปสู่การตอบโต้ในกลุ่มการเมืองฟากรัฐบาล คือ ในวันที่ 4 มีนาคม 2524 รัฐมนตรีกลุ่มกิจสังคมได้ลาออกทั้งหมด วันต่อมารัฐมนตรีกลุ่มประชาธิปัตย์ก็ลาออก รัฐบาลชุดนี้จึงสิ้นสุดลง และหลังจากการปรับคณะรัฐมนตรี รัฐบาลเปรม 2 ไม่มีกลุ่มกิจสังคมและกลุ่มชาติประชาชน โดยมีกลุ่มสหพรรค (สยามประชาธิปไตย รวมไทย และเสรีธรรม) เข้ามาเสียบ มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งและตั้งคณะรัฐมนตรีรวม 41 คนในวันที่ 11 มีนาคม

ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน คณะทหารประกอบด้วยนายทหารซึ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 7 (จปร. 7) หรือรุ่น "ยังเติร์ก" ได้แก่ พันเอกมนูญ รูปขจร (ม.พัน.4 รอ.), พันเอกชูพงศ์ มัทวพันธุ์ (ม.1 รอ.), พันเอกประจักษ์ สว่างจิตร (ร.2), พันโทพัลลภ ปิ่นมณี (ร.19 พล.9), พันเอกชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล (ร.31 รอ.), พันเอกแสงศักดิ์ มงคละสิริ (ช.1 รอ.), พันเอกบวร งามเกษม (ป.11), พันเอกสาคร กิจวิริยะ (สห.มทบ.11) โดยมี พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ยุบรัฐบาล รัฐสภา ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ให้พลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดและที่ปรึกษาคณะปฏิวัติ ให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกเป็นนายทหารนอกประจำการ การก่อการครั้งนี้เรียกกันในภายหลังว่า "กบฏเมษาฮาวาย" หรือ "กบฏยังเติร์ก"

คณะผู้ก่อการลงมือเมื่อเวลา 02.00 น. ของวันที่ 2 เมษายน โดยจับตัว พลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พลโทหาญ ลีนานนท์, พลตรีชวลิต ยงใจยุทธ และพลตรีวิชาติ ลายถมยา ไปไว้ที่หอประชุมกองทัพบก และออกอากาศแถลงการณ์คณะปฏิวัติ

"เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศทุกด้านกำลังระส่ำระส่ายและทรุดลงอย่างหนัก เพราะความอ่อนแอของผู้บริหารประเทศ พรรคการเมืองแตกแยก ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน จึงเป็นจุดอ่อนให้มีคณะบุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศเคลื่อนไหวจะใช้กำลังเข้ายึดการปกครองเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบเผด็จการถาวร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและอยู่รอดของประเทศ คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน จึงได้ชิงเข้ายึดอำนาจการปกครองของประเทศเสียก่อน"

แต่แล้วพลเอกเปรมสามารถหลบหนีไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับออกประกาศในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบแห่งชาติ ปฏิเสธว่ามิได้ลาออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด การกระทำของพลเอกสัณห์และคณะเป็นการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลจะเร่งดำเนินการทุกวิถีทางให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว

ในที่สุดรัฐบาลก็ยึดอำนาจการปกครองกลับคืนโดยไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง กองกำลังฝ่ายกบฏส่วนใหญ่ยอมจำนนและถอนตัวกลับเข้าที่ตั้งปกติ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา หนีไปได้ ส่วนพลโทวศิน อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้เข้ามอบตัวต่อรัฐบาล ในวันที่ 3 เมษายน

ระหว่างสถานการณ์ นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายา และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จากกรุงเทพฯ ไปประทับในค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่งวันที่ 1 เมษายน และได้เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 5 เมษายน.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 3-9 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (54)

หมดเวลา "แกงไก่ใส่บรั่นดี": ฉากแรกสู่อำนาจของ "ป๋า"

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญทางการเมืองชนิดล้มลุกคลุกคลานมาตลอดหลังการรัฐประหาร 2490 ซึ่งเป็นการ "โค่นล้ม" ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามความหมายจากการสัมภาษณ์นายปรีดี พนมยงค์ ที่แสดงไว้เมื่อปี 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี "การอภิวัฒน์สยาม 2475" โดยสถานีวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย

จังหวะก้าวทางการเมืองที่มีความมหายและนัยสำคัญ และส่งผลสะเทือนและมีอิทธิพลต่อการเมืองในเวลาต่อมาอีกกว่า 30 ปี คือ การก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองอย่างเต็มตัวของ พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ (ยศในขณะนั้น) จากการได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีนายกรัฐมนตรี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นเจ้ากระทรวง ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 40 (11 พฤศจิกายน 2520 - 21 ธันวาคม 2521) และในเวลาต่อมาในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 41 (12 พฤษภาคม 2522 - 3 มีนาคม 2523) พล.อ.เปรม ก็ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

และโดยที่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 12 พุทธศักราช 2520 จากการรัฐประหาร กำหนดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นในวันที่ 22 ธันวาคม 2521 จึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ซึ่งมีบทเฉพาะกาล จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งจากนักวิชาการและสื่อสารมวลชน ที่เริ่มขยับตัวได้จากการเผด็จอำนาจเต็มรูปแบบ หลังกรณี 6 ตุลาฯ ว่าเป็นประชาธิปไตยแบบ "ไม่เต็มใบ" หรือ "ครึ่งใบ"

แต่ถึงกระนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศยาวนานเป็นลำดับที่ 2 คือใช้มาจนถึงปี 2534 รองจากรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งใช้มาจนถึงปี 2489

รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 22 เมษายน 2522 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป แต่เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่สามารถตรากฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองได้ทันก่อนที่จะพ้นหน้าที่ออกไป ดังนั้นในการเลือกตั้งทั่วไปคราวนี้จึงยังไม่มีพรรคการเมือง มีแต่กลุ่มการเมืองซึ่งส่งสมาชิกเข้ารับการเลือกตั้ง 46 กลุ่ม ด้วยกัน ผลการเลือกตั้งมีกลุ่มการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา 15 กลุ่ม กลุ่มที่มีผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือ กลุ่มกิจสังคมได้ 82 คน ลำดับที่สองเป็นกลุ่มอิสระหรือไม่สังกัดกลุ่มการเมือง จำนวน 63 คน กลุ่มชาติไทยเป็นลำดับที่สามจำนวน 38 คน และรวมกับกลุ่มอื่นๆ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 301 คน

ขณะเดียวกันก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 225 คน ในวันที่ 22 เมษายน 2522 ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร รวมสมาชิกรัฐสภา 526 คน

รัฐสภาได้เสนอให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มการเมืองดังนี้ คือ เกษตรกรรมสังคม เสรีธรรม กิจประชาธิปไตย ชาติประชาชน รวมไทย และผู้แทนราษฎรไม่สังกัดกลุ่ม และมีกลุ่มกิจสังคม ชาติไทย ประชากรไทยและประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน

จากนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีร่วมคณะ 43 คณะ รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 มิถุนายน 2522 โดยไม่มีการอภิปราย

แต่แล้วเมื่อคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของพล.อ.เกรียงศักดิ์บริหารประเทศไปได้ เพียง 5 เดือน กลุ่มกิจสังคมก็ดำเนินการในฐานะผู้นำขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล 4 กระทรวง ดังนี้

กระทรวงมหาดไทยไม่ สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความไม่สงบสุขของประชาชน ปัญหาอาชญากรรมชุกชุม ปัญหาคนว่างงาน และปัญหาเกี่ยวกับความล้มเหลวในการจัดการศึกษาประชาบาล

กระทรวงคมนาคมบริหาร งานโดยขาดความรับผิดชอบในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของประชาชน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งและโทรคมนาคม ทั้งยังขอเพิ่มค่าบริการเกินความจำเป็น

กระทรวงพาณิชย์ไม่ สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและพาณิชย์ทำให้ภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ไม่สามารถรักษาระดับสินค้าที่จำเป็นแก่การอุปโภคบริโภคให้อยู่ในระดับสินค้าที่จำเป็นแก่การอุปโภคบริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ไม่สามารถประกันราคาพืชผลให้แก่เกษตร การบริหารงานส่วนใหญ่มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน

กระทรวงอุตสาหกรรมไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันและก๊าซขาดแคลน กับไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งผิดนโยบายของรัฐบาลที่แถลงมา

การเปิดอภิปรายทั่วไป ไม่วางใจกระทำเมื่อวันที่ 12-15 ตุลาคม 2522 ในการลงมติในวันที่ 16 ปรากฏว่ามติไม่ไว้วางใจมีไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ญัตติจึงตกไป

แต่แล้วในท่ามกลางความผันผวนในทางเศรษฐกิจภายในประเทศจนตั้งมีการปรับขึ้นราคาค่าบริการสาธารณูปโภคบางรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทันทีที่รัฐบาลผ่านการลงมติไว้วางใจ ก็ตัดสินใจอนุมัติให้ขึ้นราคาค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาทั่วประเทศอีก 50 % เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2522 ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอญัตติขอให้มีการพิจารณาทบทวน และเรียกร้องให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบลาออก รัฐบาลจึงต้องระงับการขึ้นราคาสาธารณูปโภคดังกล่าวไว้ก่อน

สำหรับปัญหาใหญ่ที่คงคู่กับการบริหารราชการแผ่นดินมายาวนาน คือปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กระทั่งมีรัฐมนตรียื่นใบลาออก 3 คน ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2522 และลาออกอีก 1 คน ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2523 และนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2523 ซึ่งในจำนวนคณะรัฐมนตรี 38 คน ปรากฏว่ามาจากสมาชิกผู้แทนราษฎรเพียง 3 คนเท่านั้น

ครั้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 ในที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งต่อรัฐสภา เป็นการดักหน้าการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 137 ของรัฐธรรมนูญ 2521 ซึ่งกำหนดไว้เป็นวันที่ 3 มีนาคม 2523 โดยมีประเด็นสำคัญอยู่ที่การประกาศขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างกะทันหันในราคาที่สูงเกินไป ประชาชนเดือดร้อน

ต่อมาในการลงมติการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งกระทำ ณ รัฐสภาในวันที่ 3 มีนาคม 2523 ผลคือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 27 มีนาคม - 2 เมษายน 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (53)

จาก "หอย" สู่ "อินทรีแห่งทุ่งบางเขน":
รัฐบาลพลเรือนหรือจะสู้รัฐบาลทหาร

การดำเนินคดี "กบฏ 20 มีนาคม 2520" เป็นไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ในวันที่ 21 เมษายน 2520 รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ 11) พุทธศักราช 2519 ตัดสินลงโทษโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติ มีคำสั่งให้ถอดยศและประหารชีวิตนายฉลาด หิรัญศิริ และจำคุกตลอดชีวิตผู้ก่อการที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งต่อมาได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเพิ่มอีก 8 คน รวมเป็น 12 คน นอกจากนั้นยังมีผู้ได้รับโทษลดหลั่นลงมาอีก 11 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพลเรือนที่พลเอกฉลาดชักชวนมา อาทิ นายพิชัย วาสนาส่ง, นายสมพจน์ ปิยะอุย, นายวีระ มุสิกพงศ์ ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2520

ส่วนพล.ต.อรุณ ทวาทวศิน ได้รับการเลื่อนยศหลังจากการเสียชีวิตให้เป็นพลเอก

หลังจากนั้น รัฐบาลจัดให้มีการสอบสวน จอมพล ถนอม กิตติขจร กับพวก ในข้อหากระทำผิดฐานสั่งฆ่านิสิต นักศึกษา ประชาชน ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ปรากฏว่ามีคำสั่งไม่ฟ้อง จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เนื่องจากไม่มีพยานว่าบุคคลทั้งสามสั่งฆ่าประชาชนทั้งคำสั่งด้วยวาจาหรือลาย ลักษณ์อักษร

ในเดือนกันยายนมีเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเกิดขึ้น กรณีแรก เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2520 ที่จังหวัดนราธิวาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินกลับจากเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดปัตตานี ขณะที่รถพระที่นั่งผ่านทางแยกกองร้อยหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดนราธิวาส มีรถจักรยานยนต์มีพลตำรวจ อำนวย เพชรสังข์ สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เป็นผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ได้แล่นเข้าชนรถพระที่นั่งที่บังโกลนด้านซ้ายเสียหายเล็กน้อย ส่วนรถจักรยานยนต์ล้มลงและเกิดเพลิงไหม้ ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บ และในวันต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2520 ได้มีการวางระเบิดจากวัตถุระเบิดซึ่งทำขึ้นเอง ในบริเวณสนามโรงพิธีช้างเผือก จังหวัดยะลา ใกล้เคียงกับปะรำพิธีที่ประทับซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังพระราชทานธงประจำรุ่นให้แก่ลูกเสือชาวบ้าน

เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง โจมตีรัฐบาลว่าไม่สามารถถวายความอารักขาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ โดยพุ่งเป้าไปที่การเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลาออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ ด้วยนโยบาย "ขวาจัด" นำไปสู่ความไม่พอใจในการปกครองในรูปเผด็จการของรัฐบาล ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองถึงกับลงทุนเขียนหนังสือ "ลัทธิคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย" พิมพ์แจกจ่ายทั่วประเทศ ประกาศโครงการพัฒนาประชาธิปไตย 12 ปี ทั้งยังกำหนดนโยบายต่างประเทศแบบโดดเดี่ยว ประกาศตัวไม่สัมพันธ์กับประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์

คณะนายทหาร หรือ "เปลือกหอย" นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า จึงได้ยึดอำนาจการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 20 ตุลาคม 2520 เป็นอันสิ้นสุด "รัฐบาลหอย" นายธานินทร์ กรัยวิเชียร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

พล.ร.อ. สงัดประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2519 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2520 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520 พร้อมกับทูนเกล้าฯถวายชื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมนะนันท์ และต่อมามีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 นับจากปี 2475 พร้อมกับรัฐมนตรีร่วมคณะ 31 คน

ช่วงที่อยู่ในตำแหน่งทางการเมืองพล.อ.เกรียงศักดิ์ได้รับฉายาว่า "อินทรีแห่งทุ่งบางเขน"

ธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับชั่วคราว 2520 กำหนดให้มีสภานโยบายแห่งชาติ ซึ่งพล.ร.อ.สงัดเป็นประธานกรรมการ ซึ่งกรรมการประกอบไปด้วยบุคคลในคณะรัฐประหารนั่นเอง มีหน้าที่กำหนดนโยบายแห่งชาติและแนวทางบริหารแผ่นดินในแก่รัฐบาล และธรรมนูญฉบับ 2520 กำหนดให้มีรัฐสภาเพียงสภาเดียว คือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิก 360 คน มาจากการแต่งตั้ง มีหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญและออกกฎหมาย คณะปฏิวัติมีความมุ่งหมายที่จะให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จในปี 2521 และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปีเดียวกัน

รัฐบาลได้เสนอพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วประเทศ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 50 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักโทษที่ขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ มีทั้งนักโทษการเมือง ผู้ต้องหาคดี 26 มีนาคม 2520 และนักโทษเด็ดขาด หลังจากนั้น 2 วัน อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และต่อมาก็ได้มีการขอนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องหาคดี 6 ตุลาคม 2519 อีกหลายราย รวมทั้งสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยได้ว่าความให้ผู้ต้องหา

แต่ในขณะเดียวกันก็มีตัวแทนกลุ่มต่างๆ รวม 25 กลุ่ม ยื่นหนังสือให้ดำเนินคดีกับจำเลยที่ถูกจับ 6 ตุลาคม 2519 โดยกล่าวหาว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ชัดแจ้ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และปล่อยตัวผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2521

ผลงานชิ้นสำคัญของรัฐบาลผลผลิตสืบเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และแนวนโยบายเน้นที่การปราบปรามคอมมิวนิสต์ นำไปสู่การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยไทยอาสาป้องกันชาติ พ.ศ. 2521 เพื่อถือเป็นแนวทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2521 เป็นต้นมา โดยให้รวมกลุ่มและปรับปรุงกลุ่มราษฎรอาสาสมัครต่างๆ ทั่วประเทศประมาณ 200,000 เศษรวมเข้าเป็นรูปแบบอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเรียกชื่อว่า "ไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.)" ให้มีหน้าที่พัฒนาและป้องกันหมู่บ้าน มีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ควบคุม ดูแล และมีกองทัพแต่ละภาคช่วยทำหน้าที่อบรม ในโครงการอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองแห่งชาติ (อพป.)

ในช่วงนั้น ยังมีการโจมตีด้วยกำลังอาวุธจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กระจายกันอยู่ตามภูมิภาค ในเขตป่าเขาทั่วประเทศ ต่อที่ตั้งและหน่วยปฏิบัติการทหารและตำรวจที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครพนม มีการวางระเบิด เผาอาคารสำนักงานและที่พัก และโจมตีบริษัทก่อสร้างทางที่จังหวัดน่าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 31 สิงหาคม 2521 มี การลอบยิงเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งขณะที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินตรวจภูมิประเทศจากจังหวัดเลยไปจังหวัดหนองคาย มาถึงบริเวณภูซางเหนือ กิ่งอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ได้ถูกยิงด้วยปืนเล็กกระสุนถูกบริเวณหางของเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 13-19 มีนาคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

2475-2549 โปรดฟังอีกครั้ง (52)

"คณะปฏิรูปฯ" และ "รัฐบาลหอย"
กับมรสุมลูกแรก กบฏ 26 มีนาคม 2520

ตอนเย็นวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นั่นเอง นายทหารคณะหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในนาม "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช โดยให้เหตุผลในคำประกาศว่า เพื่อกอบกู้สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้พ้นจากสถานการณ์อันเลวร้าย จึงยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2517 ยุบรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมือง ประกาศใช้กฎอัยการศึก รวมทั้งห้ามประชาชนออกนอกบ้านระหว่าง 01.00 – 04.30 น.

จากนั้นในวันที่ 8 ตุลาคม พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

นับเป็นการการสิ้นสุดระบอบประชาธิปไตยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญที่ได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนที่รวมตัวกันล้มระบอบเผด็จการทหาร

พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ตั้งคณะรัฐมนตรีรวม 18 คน ซึ่งในเวลาต่อมานายธานินทร์ได้ให้ความเห็นเปรียบเทียบไว้ว่า รัฐบาลเปรียบเสมือนเนื้อหอย มีเปลือกหอยซึ่งได้แก่ทหารเป็นผู้ให้ความคุ้มครอง จึงถูกสื่อมวลชนขนานนามให้ว่า "รัฐบาลหอย" พร้อมทั้งตั้งสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี มีจำนวน 24 คน ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน มี พล.อ.อ กมล เดชะตุงคะ เป็นประธาน และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ.2519 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2519 มี 29 มาตรา ให้มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีสมาชิกจำนวน 340 คน แต่งตั้งเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2519

นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีออกปราศรัยทางโทรทัศน์เน้นการแก้ปัญหาของประเทศ 4 ประการ คือ การค้ายาเสพติดให้โทษ การฉ้อราษฎร์บังหลวง ความยากจนของราษฎร และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนไทย

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม กวาดล้างเอกสาร อาวุธ และสั่งจับประธานสหภาพแรงงานแห่งประเทศไทย รองประธานและเลขาธิการในข้อหาร่วมมือกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์รัชทายาทและก่อการจลาจล และอธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งถอนใบอนุญาตและสั่งงดการเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาและเจ้าของหนังสือพิมพ์รวม 13 ฉบับ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบเอกสารและสิ่งพิมพ์ ซึ่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้แต่งตั้งขึ้น

พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้ออกคำสั่ง 8 ข้อ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตนของข้าราชการพลเรือน ทหารและตำรวจ และให้หัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง เรียกประชุมบุคคลระดับหัวหน้า ชี้แจงแนวปฏิบัติตามนโยบายของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

นอกจากนั้นยังมีคำสั่งยกเลิกองค์การนักศึกษา ห้ามมีกิจกรรมทางการเมืองทุกประเภท และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสำรวจเงินฝากในธนาคารของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าจากยอดเงินหลายสิบล้านเหลือเพียง 3 ล้านบาทเศษ

ในเวลาต่อมา มีการวิเคราะห์กันเรื่องการยึดอำนาจของพลเรือเอกสงัดในวันที่ 6 ตุลาคม เวลา 18.00 น. ว่าเป็นการตัดหน้า พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ซึ่งถูกคำสั่งย้ายในวันที่ 9 พฤษภาคม 2519 ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด และได้รับคำสั่งย้ายอีกครั้งในวันที่ 15 มิถุนายน 2519 ให้ไปช่วยราชการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะกระทำการในเวลา 22.00 น. ผลก็คือ พล.อ.ฉลาดถูกให้ออกจากราชการในวันที่ 10 ตุลาคม 2519 ด้วยเหตุผลว่าไม่ยอมไปรายงานตัวกับทางคณะปฏิรูปการปกครอง พล.อ.ฉลาดหลบภัยการเมืองด้วยการบวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร แต่ขณะที่เป็นพระก็ได้ติดต่อกับกลุ่มบุคคลทั้งพลเรือนและทหารระดับต่างๆ เพื่อเตรียมการปฏิวัติ ต่อมาในวันที่ 26 มีนาคม 2520 พลเอกฉลาดลาสึกจากเพศบรรพชิตในตอนเช้า

แต่ก่อนหน้านั้นในเวลา 05.00 น. วันที่ 26 มีนาคม 2520 ดำเนินการโดยทหารจำนวนหนึ่งประมาณ 300 คน ประกอบกำลังจากทหารกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี และจาก ร.19 พัน 1, 2 และ 3 เข้ายึดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้าสนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ไว้ได้ โดยตั้งกองบัญชาการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี มีนายทหาร 3 คนถูกควบคุมตัวไว้ คือ พล.อ.ประเสริฐ ธรรมศิริ รองผบ.ทบ. พล.อ.ประลอง วีระปรีย์ เสธ.ทบและ พล.ต.อรุณ ทวาทศิน ผบ.พล.1

เวลา 09.15 น. กลุ่มผู้ก่อการออกประกาศในนามคณะปฏิวัติ อ้างชื่อ พล.อ.ประเสริฐ เป็นหัวหน้า ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดย พล.ร.อ. สงัด ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกประกาศแต่งตั้ง พล.อ.เสริม ณ นคร เป็นผู้อำนวยการรักษาพระนคร เพื่อต่อต้านการปฏิวัติ

เวลา 10.15 น. ฝ่ายรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ชี้แจงสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อประชาชน โดยยืนยันว่ากำลังทหาร 3 เหล่าทัพและตำรวจยังเป็นของรัฐบาล พร้อมชี้แจงว่า พล.อ.ประเสริฐถูกบีบบังคับและแอบอ้างชื่อ

ในเวลาต่อมาการเจรจาของฝ่ายกบฏเพื่อให้นายทหารที่ถูกควบคุมเข้าร่วมก่อการ แต่นายทหารทั้ง 3 ปฏิเสธ ปรากฏตามคำให้การของพยานในห้องนั้น รวมทั้ง พ.ท.สนั่น ขจรประสาธน์ (ยศในขณะนั้น) พล.อ.ฉลาดใช้อาวุธปืนสังหาร พล.ต.อรุณ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่โดยอ้างว่า พล.ต.อรุณเข้าแย่งปืน ขณะที่ยิ่งเวลาผ่านไปก็เป็นที่แน่ชัดว่านอกจากกำลังทหารที่นำมา ไม่ปรากฏกองกำลังในกรุงเทพ ฯ เข้าร่วมก่อการด้วย ฐานอำนวยการปฏิวัติที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกก็เริ่มถูกปิดล้อมจากรถถังของฝ่ายรัฐบาล จนถึงเวลา 13.30 น. การออกอากาศของฝ่ายกบฏก็ต้องยุติลง

จากนั้น พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินด้วย ได้เข้าเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการจนได้ข้อยุติ เวลา 20.30 น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องการยินยอมให้บุคคลชั้นหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการ 5 คนคือ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ พ.ท.สนั่น ขจรประศาสน์ พ.ต.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ พ.ต.วิศิษฐ์ ควรประดิษฐ์ และ พ.ต.อัศวิน หิรัญศิริ บุตรชายของพลเอกฉลาดเดินทางออกนอกประเทศได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว พล.อ.ประเสริฐ กับ พล.อ.ประลอง

แต่แล้วในเวลา 21.00 น. ขณะที่ผู้ก่อการทั้ง 5 เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองและได้ขึ้นไปนั่งรอบนเครื่องบินเพื่อเตรียมจะออกเดินทางไปประเทศไต้หวัน ทั้งหมดก็ถูกนำตัวลงมาและถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ.


พิมพ์ครั้งแรก โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 13-19 มีนาคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง ผู้เขียน อริน